ชุดยูนิฟอร์ม ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างหนึ่งในการดำเนินธุรกิจ เพราะเป็นเครื่องแต่งกายที่แสดงออกให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ขององค์กร หน่วยงาน หรือบริษัทต่าง ๆ มีประโยชน์ ทั้งเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี มีความน่าเชื่อถือ และเสริมสร้างความสามัคคีให้พนักงานในองค์กรมีความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานได้ด้วย อย่างการแยกสีสันของเสื้อตามแต่ละแผนกเพื่อสร้างความชัดเจนในการสื่อสารกัน หรือเรื่องฟังก์ชั่นของเครื่องแต่งกาย ที่จะอำนวยความสะดวกในการทำงานมากขึ้นด้วยปัจจัยของดีไซน์ของเสื้อผ้านั้น ๆ หรือตัววัตถุดิบผ้าเอง ที่ต้องปรับไปตามลักษณะของการทำงานที่เหมาะสมมากขึ้น ดังนั้นการเลือกชุดยูนิฟอร์มที่ดี ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรเข้าใจ และใส่ใจในรายละเอียดให้มากขึ้นเพื่อการพัฒนาองค์กรได้ต่อไป
1. ชนิดผ้าของเสื้อยูนิฟอร์ม
ความหลากหลายในลักษณะของการทำงานต่าง ๆ ทำให้การสวมใส่เสื้อผ้าแต่ละประเภทจึงมีความหลากหลาย ที่ถูกออกแบบให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของที่ทำงานนั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจในเรื่องของผ้า ก็คือส่วนผสมของเส้นใยในการทอผ้า ในปัจจุบันการผลิตผ้ามีส่วนผสมหลักๆอยู่ 2 อย่างคือ ฝ้าย หรือที่เรียกว่า คอตต้อน (Cotton) และ โพลีเยสเตอร์ (Polyester) ซึ่งผ้าในท้องตลาดก็จะมีขายทั้งผ้าที่ผลิตจากฝ้าย100% และ โพลีเยสเตอร์ 100% นอกจากนี้ในปัจจุบันยังนิยมใช้ผ้าชนิดที่มีส่วนผสมของทั้งผ้าฝ้ายและโพลีเยสเตอร์มาใช้ โดยเรียกกันเป็นผ้า TC และ CVC ซึ่งทำให้ลักษณะของผ้ามีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น ผ้า CVC จะมีส่วนผสมของฝ้ายมากกว่าโพลีเยสเตอร์ ส่วนผ้า TC นั้นจะตรงกันข้ามกัน คือผ้าจะมีส่วนผสมของโพลีเยสเตอร์มากกว่าฝ้าย ซึ่งโดยมากผ้าCVC จะมาราคาสูงกว่า TC
เราสามารถทำความเข้าใจได้โดยง่ายว่า หากมีส่วนผสมของผ้าฝ้ายมาก จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง ใส่แล้วสบายตัว แต่ความทนทานจะต่ำกว่าและสีสันอาจจะไม่สดใสเท่าผ้าโพลีเยสเตอร์ และเมื่อใช้ไปนานๆมีโอกาสที่สีจะหมองลง ดูเก่าเร็ว ส่วนผ้าที่มีโพลีเยสเตอร์มาก เมื่อใส่แล้วอาจทำให้รู้สึกไม่สบายผิวหนังเท่าผ้าฝ้าย แต่ผ้าจะมีราคาที่ถูกกว่า และมีสีสันที่สด ไม่ซีดเพราะผลิตมาจากพลาสติก รายละเอียดเรื่องผ้าเป็นพื้นฐานความเข้าใจที่ช่วยให้เราเลือกผ้าได้เหมาะสมกับงบในการสั่งเสื้อที่เหมาะสมกับเราได้มากที่สุดอย่างหนึ่ง
2. ราคาที่มาพร้อมคุณภาพ
เรื่องที่จัดซื้อต้องทำให้ได้ดีที่สุด คือ ได้ราคาที่ต่ำที่สุด และคุณภาพต้องดี ซึ่งปัจจัยในการสั่งผลิตยูนิฟอร์มอาจไม่ใช่เรื่องราคาที่ถูกที่สุดอย่างเดียว โรงงานแต่ละแห่งต่างมีความถนัด หรือเชี่ยวชาญสินค้าไม่เหมือนกัน รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆของการผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกผู้ผลิต หากคุณเจอผู้ผลิตที่สามารถให้ราคาที่ต่ำที่สุดกับคุณได้ แต่เมื่อได้รับสินค้าแล้ว สินค้าไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลง ผิดสเปคบ้าง งานไม่เรียบร้อยบ้าง แล้วคนที่จะต้องใส่เสื้อผ้าที่สั่งมา ไปอีกอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี คงจะต้องมีการบ่นไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ผู้ใส่แต่ละคนมีความเห็นและความต้องการที่ต่างกันมาก ฉะนั้นเรื่องคุณภาพของสินค้าที่ต้องมีมาตรฐานจึงสำคัญไม่แพ้เรื่องราคาเช่นกัน
3. สินค้าตัวอย่าง
สินค้าประเภทเสื้อผ้ามีรายละเอียดหลายอย่างที่รูปภาพอย่างเดียวไม่สามารถสื่อสารได้อย่างครบถ้วน การจัดทำเสื้อตัวอย่างจริงก่อนการผลิตสินค้าทั้งลอทจึงมีความสำคัญมากทีเดียว ผ้าที่เป็นชิ้นกับผ้าที่เป็นเสื้อทั้งตัวก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกันเมื่อได้สัมผัส รายละเอียดงานพิมพ์และงานปักก็มีความสำคัญ เพราะภาพกราฟฟิกที่เป็นรูปสรุปแบบเสื้อ เมื่อมีผลิตจริงรายละเอียดของความคมชัด ความนูน หรือความเงา อาจจะดูแล้วสวยกว่าหรือสวยน้อยกว่าภาพจากกราฟฟิกก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ตามแต่ลักษณะของลาย ดังนั้นสินค้าตัวอย่างจึงมีความจำเป็นมากที่ผู้ผลิตต้องมีให้ หรืออย่างน้อยต้องมีตัวอย่างสินค้าที่ใกล้เคียงให้ผู้สั่งสินค้าได้เห็นตัวอย่างก่อนการผลิตทั้งลอท
4. ออกแบบยูนิฟอร์มได้ตามใจ
ในการออกแบบยูนิฟอร์มที่ดี ต้องทำให้ผู้สวมใส่มีความมั่นใจและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรมากขึ้น ฉะนั้นหากผู้ผลิตมีข้อจำกัดที่ทำให้สิ่งที่ผู้สั่งสินค้าออกแบบมาไม่สามารถผลิตได้ตามความต้องการ ก็ปัจจัยหนึ่งที่ผู้สั่งสินค้าต้องคำนึงถึงความเป็นมาตรฐานของผู้ผลิตเจ้านั้น หรืออย่างน้อยผู้ผลิตก็ควรจะมีแบบสินค้าให้เลือก มีรูปที่เคยผลิตสินค้าออกมาได้หลากหลายรูปแบบให้ดูเป็น Reference ก่อน ก็ถือว่าเป็นผู้ผลิตที่มีประสบการณ์ในการผลิตได้ ซึ่งจะทำให้ผู้สั่งสินค้ามั่นใจได้มากขึ้นก่อนเลือกผู้ผลิต
5. บริการหลังการขายและการรับประกันคุณภาพ
สิ่งสำคัญที่สร้างความมั่นใจและสบายใจได้มากที่สุดในการเลือกสั่ง หรือซื้อสินค้าก็คือ เรื่องการรับประกันสินค้า เพราะอย่างน้อยการสั่งผลิตสินค้าก็ควรเหมือน หรือใกล้เคียงสินค้าที่เราสั่งมากที่สุด หากต้องเจอสินค้าที่ผิดสเปค หรือดูแตกต่างกว่าที่เห็นสินค้าตัวอย่างมากไป เป็นใครก็คงรับไม่ได้ แต่หากผู้ผลิตยืนยันว่ามีการรับประกันสินค้าให้ เมื่อได้รับของที่ไม่ตรงสเปค ผู้ผลิตอาจนำกลับมาแก้ไขให้ หรืออาจจะยอมผลิตสินค้าให้ใหม่เลย
ในการผลิตสินค้าประเภทเสื้อผ้า ผู้สั่งสินค้าเองก็ต้องยอมรับข้อจำกัดเช่นกันว่า สินค้าประเภทเสื้อผ้ายังต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของคนในการผลิตอยู่ ฉะนั้นเสื้อผ้าทุกตัวจึงไม่มีทางที่จะเหมือนกันได้ทั้ง100% แต่หากผู้ผลิตมีการรับประกัน อย่างน้อยก็สามารถที่จะเจรจาเพื่อหาข้อตกลง ที่จะยอมรับกันได้ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะผู้ผลิตบางเจ้าเอง ก็ไม่สามารถรับประกันสินค้าให้ได้ เนื่องด้วยกระบวนการผลิตเองมีขั้นตอนที่เยอะ และต้นทุนที่สูง หากต้องผลิตใหม่ให้ทั้งหมดผู้ผลิตอาจจะขาดทุนมากเกินกว่าจะรับไหว
ผู้ผลิตอาจมีทางเลือกให้ผู้สั่งหากสินค้ามีปัญหา เช่น การผลิตให้ใหม่บางส่วนที่รับไม่ได้จริงๆ หรืออาจจะเป็นการลดราคาให้ในตัวที่มีปัญหา เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการบริการ และความรับผิดชอบของเซลล์ต่อลูกค้า ที่เราควรให้ความสำคัญ อย่างการพูดคุย และความใส่ใจของเซลล์เอง ก็มีผลกับการตกลงประนีประนอมปัญหาเช่นกัน
